ผลงานตาลปัตรที่ระลึกงานทอดกฐินของกองทัพเรือ
|
ตาลปัตรที่ระลึกงานทอดกฐินรูปดอกสาละ
|
ตาลปัตรที่ระลึกงานทอดกฐินสัญลักษณ์รูปกวางหมอบเคียงข้างกงล้อธรรมจักร
|
ตาลปัตรที่ระลึกงานทอดกฐินสัญลักษณ์การตรัสรู้
|
ผลงานทำย่ามงานกฐินกองทัพเรือ |
ชุดหมอนอิง - อาสนะ สำหรับพระสงฆ์ปูนั่ง
|
|
|
|
|
|
|
|
|
พานแว่นฟ้าและที่ครอบผ้าไตรองค์กฐิน
|
พานแว่นฟ้าประดับลายมุกอย่างประณีต
|
ที่นอนพระ
|
หมอนหนุน
|
ผ้าเช็ดตัว
|
รองเท้า
|
ผ้าห่มนอน
|
ผ้าห่มพระประธาน
|
ปิ่นโต
|
ร่ม
|
ต้นกฐิน - ไม้เสียบเงินบริจาค
|
ต้นโพธิ์สำหรับทำพุ่มกฐิน
|
สัปทน
|
ธงรูปนางมัจฉา - รูปจระเข้ |
เครื่องกฐิน (เครื่องไทยธรรมถวายพระสงฆ์)
|
เครื่องกฐิน (เครื่องไทยธรรมถวายพระสงฆ์)
|
เสื่อยาว 8 เมตร - 10 เมตร (ปูในศาลา)
|
เสื่อพับ
|
มุ้ง
|
ใบอนุโมทนาบัตร
|
ขาตั้งตาลปัตรสีโอ๊ค |
ขาตั้งตาลปัตรฝังมุก
|
หม้ออลูมิเนียม
|
จานข้าว-ช้อนส้อม-แก้วน้ำ
|
กระโถนเซรามิค
|
กระโถนเคลือบ
|
ชุดกาน้ำชา
|
กระติกน้ำร้อน
|
เครื่องมือโยธา
|
เทียนปาฎิโมกข์
|
ประเพณีและอานิสงส์การทอดกฐิน
การทอดกฐินเป็นบุญใหญ่ เป็นประเพณีสำคัญของชาวพุทธมาแต่โบราณกาล ประเพณีการทอดกฐินมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีประวัติความเป็นมาว่า ภิกษุชาวเมืองปาฐา หรือปาวา ๓๐ รูป ล้วนทรงธุดงคคุณ สมบูรณ์ด้วยศีลาจารวัตร เคร่งครัดในพระธรรมวินัย มีอัธยาศัยชอบอยู่ป่า ท่านเหล่านั้นมีความประสงค์จะเดินทางไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา ครั้นกระชั้นพรรษา มาไม่ถึงตามกำหนด จึงแวะเข้าจำพรรษา ณ เมืองสาเกต ครั้นออกพรรษาปวารณาเสร็จ ยังไม่พ้นเขตวสันตฤดู ภูมิภาคอากูลไปด้วยโคลนตม ไม่เป็นสมัยที่จะสัญจร มีสบงจีวรอันชุ่มชื้นไปด้วยน้ำและโคลน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาเห็นความลำบากของสาวกเหล่านั้น จึงทรงอนุญาตกฐินัตถารวินัยกรรมว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลาย ผู้อยู่จำพรรษาแล้วกรานกฐินได้ ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายที่กรานกฐินแล้ว จักสำเร็จอานิสงส์ ๕ ประการ" โดยระยะของการกรานกฐินกำหนดตั้งแต่ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน๑๒ และปรากฏในตำนานว่า นางวิสาขามหาอุบาสิกาเป็นผู้ได้รับพระบรมพุทธานุญาตให้ทอดกฐินเป็นคนแรกแก่พระภิกษุชาวเมืองปาฐา หรือปาวา ๓๐ รูปนั้น ส่วนอานิสงส์ของพระภิกษุสงฆ์ผู้กรานกฐินแล้ว จักได้อานิสงส์ ๕ ประการ คือ
๑. อนามนฺตจาโร - เที่ยวไปในตระกูลได้ไม่ต้องบอกลา ตามปกติจะไปในที่อื่นจากที่นิมนต์นั้น ในเวลาก่อนหรือกลับต้องบอกลาภิกษุที่มีอยู่ในวัดนั้นก่อนจึงไปได้
๒. อสมาทานจาโร - เที่ยวไปโดยไม่ต้องเอาไตรจีวรไปด้วยก็ได้ ตามปกติวิสัยภิกษุจะไปแรมคืน ณ ที่ใด ต้องเอาไตรจีวรไปด้วย
๓. คณโภชนํ - ฉันคณโภชนะได้ไม่เป็นอาบัติ ตามปกติภิกษุถูกอาราธนาและออกชื่อโภชนะทั้ง ๕ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้ารับของนั้นมาหรือฉันของนั้นพร้อมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เมื่อได้กรานกฐินแล้วคุ้มอาบัตินี้ได้
๔. ยาวทตฺถจีวรํ - มีจีวรได้ตามต้องการ คือเก็บอติเรกจีวร (จีวรที่เกินจากที่ใช้) ไว้ได้ไม่เป็นอาบัติ
๕. โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโท โส เนสํ ภวิสฺสติ - จีวรลาภใดที่เกิดแก่สงฆ์ในอาวาสนั้น จีวรลาภที่เกิดขึ้นนั้น จักเป็นของๆ ภิกษุทั้งหลายผู้ได้กรานกฐินแล้ว
ในส่วนทานิสสราธิบดี ผู้เป็นใหญ่ในทาน หรือท่านผู้เป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ได้มีศรัทธาปสาทะ สละทรัพย์บำเพ็ญมหากุศลอันบุคคลทั่วไปกระทำได้ยาก ชื่อว่าได้ผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่มีผลทั้งแก่ตน สังคม ประเทศชาติและพระศาสนา คือ...
๑. ชื่อว่าได้เป็นศาสนทายาท สืบทอดอายุพระพุทธศาสนา
๒. ชื่อว่าได้รักษาวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามไว้มิให้เสื่อมสูญ
๓.ชื่อว่าเป็นการเพิ่มพูนทานบารมี
๔. ชื่อว่าเป็นสร้างความสามัคคีในหมู่พุทธบริษัท
๕. ชื่อว่าเป็นการกำจัดมัจฉริยะ (ความตระหนี่)
๖. ชื่อว่าเป็นการถวายกำลังแก่พระสงฆ์ผู้ดำรงพระศาสนา
๗. ชื่อว่าเป็นการบูชาพุทธโอวาทของพระบรมศาสดา
๘. ชื่อว่าเป็นการแปรทรัพย์และทำชีวิตให้เป็นสาระ
๙. ชื่อว่าเป็นการสั่งสมทุนคือบุญกุศลไว้ในภายภาคหน้า
ความพิเศษของบุญกฐิน คือมีข้อแม้และจำกัดหลายประการ เช่น..
๑. จำกัดประเภททาน - ต้องถวายเป็นสังฆทานอย่างเดียว จะเฉพาะเจาะจงผู้ใดผู้หนึ่งไม่ได้
๒. จำกัดเวลา - มีเวลาสำหรับการทอดกฐินภายในระยะเพียง ๑ เดือน และพระที่รับกฐินแล้วจะต้องครองให้เสร็จภายใน ๑ วัน
๓. จำกัดไทยธรรม - ของถวายต้องเป็นผ้าสำหรับตัดเย็บเป็นจีวรสังฆาฏิ และสบงเท่านั้น (ปัจจุบันหาซื้อผ้าไตรมาถวาย) ของนอกนั้นจัดเป็นบริวารกฐิน
๔. จำกัดผู้รับ - พระที่รับกฐินต้องจำพรรษาในอาวาสนั้น โดยพรรษาไม่ขาดตลอดไตรมาส (สามเดือน) และมีจำนวน ๕ รูปขึ้นไป
๕. จำกัดคราว - ปีหนึ่งทอดกฐินได้ครั้งเดียว และวัดหนึ่งๆ จะรับกฐินซ้ำซ้อนกันไม่ได้
๔ ส.แห่งบุญทอดกฐิน
การทอดกฐิน จัดเป็นบุญพิเศษ เรียกว่า บุญ ๔ ส.คือ
๑. บุญสละ - สละเวลา น้ำพัก น้ำแรง และน้ำเงิน เพื่อบำเพ็ญกุศล
๒. บุญสามัคคี - พร้อมใจประกอบให้มีขึ้น ด้วยน้ำใจไมตรีอันงาม
๓. บุญศักดิ์ศรี - ได้ประกาศความเป็นพุทธศาสนิกชนคนมีศาสนา
๔. บุญศักดิ์สิทธิ์ - เพราะบุญเป็นที่พึ่ง เป็นกัลยาณมิตร เป็นเงาเฝ้าตามติด เป็นทุนหนุนชีวิตให้รุ่งเรือง
การถวายกฐิน
นิยมถวายในโบสถ์ โดยเฉพาะกฐินพระราชทาน ก่อนจะถึงกำหนดเวลาจะเอาเครื่องบริวารกฐินไปจัดตั้งไว้ในโบสถ์ก่อน ส่วนผ้ากฐินพระราชทานจะยังไม่นำเข้าไป พอถึงกำหนดเวลาพระสงฆ์ที่จะรับกฐิน จะลงโบสถ์พร้อมกัน นั่งบนอาสนที่จัดไว้ เจ้าภาพของกฐิน พร้อมด้วยผู้ร่วมงานจะพากันไปยังโบสถ์ เมื่อถึงหน้าโบสถ์เจ้าหน้าที่จะนำผ้าพระกฐินไปรอส่งให้ประธาน ประธานรับผ้าพระกฐินวางบนมือถือประคอง นำคณะเดินเข้าสู่โบสถ์ แล้วนำผ้าพระกฐินไปวางบนพานที่จัดไว้หน้าพระสงฆ์ และหน้าพระประธานในโบสถ์ คณะที่ตามมาเข้านั่งที่ ประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วกราบพระพุทธรูปประธานในโบสถ์แบบเบญจางคประดิษฐ์สามครั้ง แล้วลุกมายกผ้าพระกฐินในพานขึ้น ดึงผ้าห่มพระประธานมอบให้เจ้าหน้าที่ รับไปห่มพระประธานทีหลัง แล้วประนมมือวางผ้าพระกฐินบนมือทั้งสอง หันหน้าตรงพระสงฆ์แล้วกล่าวคำถวายผ้าพระกฐิน จบแล้วพระสงฆ์รับ สาธุการ ประธานวางผ้าพระกฐินลงบนพานเช่นเดิม แล้วกลับเข้านั่งที่ ต่อจากนี้ไปเป็นพิธีกรานกฐินของพระสงฆ์
กฐินของประชาชน หรือ กฐินสามัคคี หรือในวัดบางวัดนิยมถวายกันที่ศาลาการเปรียญ หรือวิหารสำหรับทำบุญ แล้วเจ้าหน้าที่จึงนำผ้ากฐินที่ถวายแล้วไปถวายพระสงฆ์ ทำพิธีกรานกฐินในโบสถ์เฉพาะพระสงฆ์อีกทีหนึ่ง
การทำพิธีกฐินัตการกิจของพระสงฆ์ เริ่มจากการกล่าวคำขอความเห็นที่เรียกว่า อปโลกน์ และการสวดญัตติทุติยกรรม คือการยินยอมยกให้ ต่อจากนั้นพระสงฆ์รูปที่ได้รับความยินยอม นำผ้าไตรไปครองเสร็จแล้วขึ้นนั่งยังอาสนเดิม ประชาชนผู้ถวายพระกฐินทาน ทายกทายิกา และผู้ร่วมบำเพ็ญกุศล ณ ที่นั้น เข้าประเคนสิ่งของอันเป็นบริวารขององค์กฐินตามลำดับจนเสร็จแล้ว พระสงฆ์ทั้งนั้นจับพัด ประธานสงฆ์เริ่มสวดนำด้วยคาถาอนุโมทนา ประธานหรือเจ้าภาพ กรวดน้ำ และรับพรจนจบ เป็นอันเสร็จพิธี
|